ฟังธรรมะออนไลน์

ฟังธรรมะออนไลน์

คณะกรรมการ
มูลนิธิสวนแก้ว


ระเบียบการ
การบรรพชา – อุปสมบท
(บวชพระ - บวชเณร)


เล่าไว้เมื่อวัย73ปี พระราชธรรมนิเทศ

วารสารกัลยาโณ

ปฏิทินธรรม2567




หนังสือโฉนดกล้วยแขก ภาค2 "รู้... เท่าทัน... คำพิพากษ่า Not standrd สุดซอย"

 
อ่านเพิ่มเติมที่นี่







ที่มาที่ไป คดีฆ่าหมู กับความเข้าใจผิดของคน

วัดสวนแก้ว อ . กบินทร์บุรี จ . ปราจีนบุรี
ชื่อมูลนิธิร่มโพธิ์แก้ว 2 ฆ่าและจำหน่ายสัตว์ที่คนไถ่ชีวิตนำมาถวายวัด

ในฐานะนิสิตสัตวแพทย์ขอประณาม ในวันพฤหัสที่ 19 ม. ค. ที่ผ่านมา แฟนของผม ยืนรอรถเมล์อยู่บริเวณสำโรง เวลาประมาณบ่าย 5 โมงเย็น
มีรถบรรทุกหมูที่จะไปส่งโรงฆ่าสัตว ์แล่นผ่านมา ได้มีหมูตัวหนึ่ง ดิ้นรนหลุดออกจากกรง ตกลงมาจากรถกระบะ ลงมาอยู่ที่ริมฟุตบาท ตรงหน้าแฟนผม
เกิดความสงสารสัตว์ที่จะถูกนำไปโรงฆ่า เธอโทรศัพท์หาผม เราตกลงกันว่าจะติดต่อขอซื้อหมูตัวนั้น ในราคา 6000 บาท แล้วให้นำไปส่งที่บ้าน ใน จ . สมุทรปราการ ที่อยู่ห่างไปประมาณ 10 กม มาวันแรกเค้ายังเดินไม่ได้ เนื่องจากเจ็บที่ขาหลังด้านขวา อีกทั้งน้ำหนักมากถึง 107 กิโล ่วมกับเพลียจากการเดินทาง
วันแรกจึงให้น้ำ ให้อาหาร แล้วมันก็นอนพัก เราก็เป็นห่วง กลัวมันจะไม่สบาย เราได้ตั้งชื่อมันว่า เจ้าสำโรง ตามสถานที่ที่พบมัน

เช้าวันต่อมา อาการมันดีขึ้น สดใสขึ้น กินน้ำได้มาก เราได้ไปพาสัตวแพทย์ที่หน้าซอยบ้านมาตรวจ 2 ครั้ง แพทย์บอกว่าเจ้าสำโรงอ่อนเพลีย และเจ็บที่ขา ตรวจแล้วกระดูกไม่หัก แต่กล้ามเนื้ออักเสบ ให้นอนพักผ่อน เนื่องจากเกรงใจเพื่อนบ้านที่ติดกันเนื่องจากหมูร้องเสียงดัง จึงได้โทรศัพท์ติดต่อไปที่ วัดสวนแก้ว จ . นนทบุรี เนื่องจากเคยได้ยินว่ามีรับสัตว์ที่ไถ่ชีวิต ทางวัดบอกว่ามีการรับเลี้ยงสัตว์ที่ไถ่ชิวิตจริงๆ แต่ที่นนทบุรีเต็มแล้ว ทางวัดมีสาขาที่ อ . กบินทร์บุรี จ . ปราจีนบุรี ชื่อมูลนิธิร่มโพธิ์แก้ว 2 ( วัดนรก) รับเลี้ยงสัตว์ที่ถูกไถ่ชีวิตทางวัดที่นนทบุรี ส่งวัว ควาย ไปไว้ที่นั่นแล้วสิบกว่าตัว รับเลี้ยงได้ จึงติดต่อให้ทางวัดนำรถมารับ โดยจ่ายค่าขนส่ง 1000 บาท ตกลงให้มารับในวันเสาร์

ในวันเสาร์ วันนี้เป็นวันที่รถของทางวัดจะมารับเจ้าสำโรง วันนี้มันดีขึ้นมาก พยายามลุกเดิน 3 ขา แต่ยังไม่ค่อยไหว กินอาหารได้ดีขึ้นมาก เราเลี้ยงเจ้าสำโรงด้วยข้าว กล้วย ผักกาด ผักบุ้ง วันนี้เราเลยได้รู้ว่าเจ้าสำโรงชอบกินผักบุ้งมาก นึกแล้วก็ใจหายเหมือนกัน เพราะวันนี้รถจะมารับมันไปแล้ว วันนี้เจ้าของเขียงหมูที่เราซื้อเจ้าสำโรงมา แวะมาเยี่ยมที่บ้านด้วย แล้วก็ให้คำแนะนำในการเลี้ยง รวมทั้งถามอาการเจ็บขาของมัน (เราเองก็คาดไม่ถึงว่าเจ้าของเขียงหมูจะเป็นห่วง ตามมาเยี่ยมถึงบ้านด้วย เค้าบอกว่าพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมอีก เราบอกเค้าว่าวันนี้ทางวัดจะมารับมันไปเลี้ยงแล้ว
ไม่ต้องมาแล้วก็ได้ครับ ขอบคุณมากๆ )

ประมาณ บ่าย 3 โมง รถของทางวัดก็มารับ เราช่วยกันอุ้มเจ้าสำโรงขึ้นรถอย่างทุลักทุเล วันนี้เจ้าสำโรงร้องดังมากๆ เหมือนมันไม่อยากไป เราเองก็คิดถึงมัน เลยขอแผนที่ทางวัดไว้ เผื่อวัน! หลังจะตามไปเยี่ยม ตกเย็น ไปงานรับปริญญาน้องชายแฟน กลับมานอนที่บ้าน นอนไม่ค่อยหลับ เพราะคิดถึงเจ้าสำโรง มันรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก น่าแปลกที่แฟนก็คิดเหมือนกัน วันรุ่งขึ้นจึงตัดสินใจไปเยี่ยมมันที่โน่นเลย เผื่อขาดเหลือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงจะได้ช่วยกัน ไปถึงวัดตอนบ่ายๆ บริเวณมูลนิธิร่มโพธิ์แก้ว จะมีลักษณะเป็นโรงจำหน่ายของที่รับบริจาคมา และมีการทำสวนพืชไร่หลายชนิด จึงไปติดต่อกับพระที่ดูแลที่นี่
บอกท่านว่ามาเยี่ยมเจ้าสำโรงที่รถนำมาส่งเมื่อวาน ระหว่างนั้น

เจ้าหน้าที่วัด และพระรูปอื่น ทำหน้าแปลกๆ และซุบซิบกันไปมา และได้เรียกพระท่านนี้เข้าห้องไปคุย ปิดประตูอยู่พักหนึ่ง ท่านก็ออกมา ผมเลยบอกว่ารบกวนท่านบอกทางไปที่เลี้ยงสัตว์ เพราะว่าวันนี้ไปแวะซื้อผักบุ้งจากห้างมาหอบใหญ่ เพราะรู้ว่าเจ้าสำโรงชอบ พระท่านบอกว่าเดี๋ยวพาไปเอง ท่านพาเดินดูที่นั่น ที่นี่ พาไปดูสวน ผมก็บอกท่านว่าขอไปดูหมู ท่านก็บอกว่าทางนี้ พอไปถึงก็ไม่มี ท่านก็บอกว่าอยู่อีกที่หนึ่ง วนไป วนมานานถึง 2 ชั่วโมง ็ยังไม่พบ ระหว่างนั้นพระท่านนี้ก็เล่าว่า วัวที่นี่ไม่มีแล้ว เนื่องจากนำไปจ่ายเป็นค่าตอบแทนชาวบ้านที่มาช่วยงานแทนเงินเดือน (แล้วถ้าหากชาวบ้านที่ได้นำไปขายหรือฆ่าล่ะ )

ระหว่างเดินอยู่ พบคอกเลี้ยงลูกหมูป่าคอกเล็ก ๆ ประมาณ 10 ตัว ไม่พบวัวซักตัว หลังจากเดินมานานก็ยังไม่พบ จึงถามพระ ท่านก็บอกว่าหมูเมื่อวานป่วย นำไปส่งที่ปศุสัตว์แล้ว ผมเลยถามท่านว่าปศุสัตว์ไปทางไหน จะตามไปเยี่ยม ท่านก็บอกว่าวันหยุดราชการไม่เปิด ผมก็ถามท่านว่าแล้วเมื่อวานวันหยุดราชการปศุสัตว์มาตรวจได้ยังไง ท่านก็เงียบไปบ่ายเบี่ยงต่างๆ แล้วบอกผมว่าเดี๋ยวต้องถามคนดูแลสัตว์อีกที ผมก็บอกว่างั้นขอพบ พระบอกว่าคนนี้ไม่อยู่ กลับกรุงเทพฯ ผมบอกว่างั้นจะรอพบ สุดท้ายคนๆนี้ก็มา หลังจากรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง มันบอกผมว่าหมูเมื่อวานป่วย เลยให้สัตวแพทย์มาดู และนำไปส่งที่ปศุสัตว์แล้ว ผมบอกจะตามไปดู ก็บอก ว่าปิดราชการ ไปไม่ได้ ผมถามว่าวั้นสัตวแพทย์มาได้ยังไง มันตอบว่าสัตวแพทย์มาดูแล้ว บอกว่าอาการมันหนัก เลยจัดการไปแล้ว !!!

ผมตกใจมากถามว่าสัตวแพทย์ที่มาดูชื่ออะไร จะตามไปถาม ถามไปถามมา สุดท้ายมันบอกผมว่ามันตัดสินใจฆ่าเอง โดยเชือดแบ่งเนื้อแจกจ่ายไปแล้ว และมันบอกว่าขอรับผิดเอง มันอ้างว่าคาดไม่ถึงว่าผมจะตามไปดู มันบอกว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีคนที่ไถ่ชิวิตสัตว์ตามไป! ดู มีผมเป็นคนแรก ถ้ามันรู้ว่าผมมามันคงไม่ฆ่าหรอก ทั้งผม และแฟนผมเสียใจมาก นึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้ ในวัด กับสัตว์ที่ไถ่ชีวิตมาจากโรงฆ่า คิดไม่ถึงว่ามาถึงที่นี่ มันไม่ให้เค้ากินน้ำกินอาหารด้วยซ้ำ กลับฆ่ามันเหมือนถูกส่งโรงฆ่าสัตว์ ผมและแฟนผมเสียใจมาก! เธอร้องไห้ตลอดเกือบทั้งวัน หลังจากนั้น
ผมจึงคิดว่าอย่างน้อยต้องประกาศให้สังคมรับรู้ ถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้น และคงต้องพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ขอความเห็นใจจากสังคมด้วยครับ
จากคุณ : นพ . ภูรxxx ภูริxxxxx



ความจริงที่เกิดขึ้น

ที่มา : จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ปีที่ 9 ฉบับที่ 2344 ประจำวัน จันทร์ ที่ 4 สิงหาคม 2008
โดย พระพยอม กัลยาโณ


เรื่องนี้ต้องชี้แจงโทษวัดฆ่าหมูบริจาค สิ่งเลวร้ายที่สุดตั้งแต่ตั้งวัดสวนแก้วขึ้นมาคือ การกล่าวหาว่าวัดนำหมูบริจาคไปฆ่ากิน วันนี้ผ่านมา 2 ปีกว่าแล้ว ข้อกล่าวหาก็ยังอยู่ ทั้งๆที่วัดเคยชี้แจงผ่านสื่อและมีการพิสูจน์ความจริงไปแล้ว แต่เรื่องดังกล่าวก็ดูว่ายังไม่จบ

เรื่องที่อาตมาจะกล่าวนี้ได้ผ่านไปนานแล้วกว่า 2 ปี และอาตมาเองก็เคยชี้แจงต่อสาธารณชนผ่านสื่อมวลชนไปแล้วหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่ายังไม่จบ เพราะยังมีคนเข้าใจผิดอยู่ เพราะเรื่องราวที่ทำให้เข้าใจผิดนั้นยังมีวนเวียนอยู่ในเว็บไซต์ ใน E-mail ซึ่งได้ส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ จึงทำให้เรื่องนี้ไม่จบสักที มันเหมือนเป็นการหยิบเอาเรื่องนี้มาดิสเครดิตกัน

เรื่องที่ว่าก็คือ กล่าวหาว่าวัดสวนแก้วเชือดหมูที่ชาวบ้านไถ่ชีวิตมาจากโรงฆ่านำไปเชือดกิน เรื่องนี้เป็นเรื่องหนังไม่ได้รองนั่ง เนื้อก็ไม่ได้กิน แถมยังเอากระดูกมาแขวนคอ ถ้าใครได้อ่านในเว็บไซต์แล้วเชื่อตามนั้นก็คงบอกได้ว่า “หูเบา” เชื่อง่ายไปหน่อย
เพราะมันส่อว่าเป็นความเสียหายต่อสังคมอย่างหนึ่งคือ ไม่สืบหาข้อมูลว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร

ถ้ายังไม่ทราบอาตมาจะบอกให้ เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ เมื่อ 2 ปีกว่ามีคนใจบุญพบกับเหตุการณ์รถขนหมูเข้าโรงฆ่าสัตว์ทำหมู ตัวหนึ่งตกจากรถ และยังไม่ตาย ด้วยความสงสารคนใจบุญคนนั้นจึงขอไถ่ชีวิตหมู่ตัวนั้นมาในราคา 6,000 บาท แล้วนำมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน ปรากฏว่าหมูได้รับบาดเจ็บ ซี่โครงหักเข้าไปทิ่มปอด (รู้ทีหลังจากปากคำของสัตวแพทย์) ด้วยความเจ็บปวดหมูก็ร้องทั้งคืนจนชาวบ้านไม่พอใจ คนใจบุญจึงนำมาถวายให้วัดสวนแก้วซึ่งมีหมูอยู่แล้วหลายตัว จึงได้ส่งมอบไปให้โครงการร่มโพธิ์แก้ว ที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เพราะที่นั่นยังรองรับได้และมีคนดูแลเยอะ

หลังจากหมูไปอยู่ที่โครงการร่มโพธิ์แก้ว สาขากบินทร์บุรีแล้ว เวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ คนใจบุญผู้นี้ได้เดินทางไปเยี่ยมหมูอีกครั้ง ที่กบินทร์บุรี แต่ไม่พบหมูของตนจึงได้ถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ผู้รับผิดชอบโครงการ และไม่รู้สาเหตุการตายของหมู รู้แค่หมูตายและมีการชำแหละแบ่งเนื้อกัน จึงตอบไปตามภาษาชาวบ้านที่ไม่รู้และไม่ได้ระวังคำพูดว่า “เชือดแล้ว” ทำให้เจ้าของหมูคิดว่าเจ้าหน้าที่โครงการฆ่าหมูกินแล้ว จึงโกรธใหญ่ทั้งที่ยังไม่รู้ความจริง กลับมาเขียนข้อความหาว่า วัดสวนแก้วฆ่าหมูบริจาค ส่งเผยแพร่ทั้งทางเว็บไซต์และสื่อมวลชนจนเป็นข่าวครึกโครม จนมีคนด่าทั้งอาตมาทั้งวัดว่า ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ทำไมถึงเป็นวัดที่เลวทรามโหดร้าย ใจดำอำมหิต แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคนใจบุญได้หรือไม่ ด่ากระทั่งวัดกระทั่งพระ บอกกับคนอื่นว่าตัวเองเป็นคนใจบุญ แต่เพราะหมูร้องด้วยความเจ็บปวดจนชาวบ้านรำคาญ ก็โยนภาระมาให้วัดกับพระ แล้วยังตามมาราวีให้ร้ายป้ายสีกับวัดอีก

ความจริงที่พิสูจน์ได้ก็คือ หมูตายตั้งแต่ 2 วันแรกที่ไปอยู่ที่นั่นแล้ว ตายด้วยอาการบาดเจ็บของมันเอง คนงานของโครงการร่มโพธิ์แก้ว ซึ่งเป็นชาวบ้านย่านนั้นพอพบว่าหมูที่บริจาคมา ตายจึงแจ้งต่อปศุสัตว์อำเภอ ซึ่งเป็นระเบียบของโครงการว่าถ้าสัตว์ในโครงการตายต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ ปศุสัตว์ทราบเพื่อหาสาเหตุการตาย (เกรงว่าจะเป็นโรคติดต่อ) ผลการตรวจของปศุสัตว์คือ หมูตัวนี้ช้ำใน ประกอบกับกระดูกที่หักแทงเข้าที่ปอด เมื่อหมูตายและปศุสัตว์ยืนยันว่าไม่ได้เป็นโรคตาย เจ้าหน้าที่โครงการและชาวบ้านจึงชำแหละแบ่งเนื้อไปทำกิน ส่วนที่เหลือนำไปฝังเพราะกินไม่หมด

เรื่องที่เกิดจึงเป็นเพราะคนใจบุญนั้นไม่ได้ฟังหรือไม่พยายามเข้าใจ คิดแต่ว่าวัดเชือดหมูตัวเองไปกิน ที่วัดสวนแก้วไม่ว่าจะเป็นวัวก็ดี แพะก็ดี หมาก็ดี เลี้ยงไว้ตั้ง 700-800 ตัว ถามว่าถ้าโหดอย่างนั้นวัดจะเลี้ยงพวกนี้ไว้เป็นภาระทำไม อยู่แบบสบายๆ ไม่ต้องรับสัตว์พวกนี้มาเลี้ยง จะไม่ดีกว่าหรือตั้งแต่อาตมาตั้งวัดสวนแก้วขึ้นมายังไม่เคยมีใครมาใส่ร้ายให้เสียหายต่อชื่อ เสียงได้เท่ากับเหตุการณ์ครั้งนี้เลย

อาตมาจึงอยากฝากไปยังเว็บไซต์ต่างๆว่า อยากให้ช่วยกันหยิบข้อความตรงนี้ลงไป เพื่อช่วยทำให้ข้อเท็จจริงกระจ่าง จะได้เกิดความเป็นธรรม กับวัดสวนแก้วบ้าง คำพูดที่เขาบอกว่าไม่ศรัทธาวัดนี้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เชื่อว่ายังมีคนเข้าใจวัดสวนแก้วอยู่ แต่ขออย่าพยายามดึงคนอื่นให้มาเข้าใจผิดๆ แบบที่คุณเข้าใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง อาตมาจึงขอชี้แจงความเป็นจริงให้ทราบอย่างที่ได้กล่าวมา หากใครมีข้อสงสัยหรืออยากรู้ว่าหมู ตัวนี้ตายอย่างไรให้เช็กไปได้ที่ปศุสัตว์ อำเภอกบินทร์บุรี จะได้รู้ความจริง และไม่ต้องฟังความข้างเดียว น้ำหนักหูจะได้ไม่เอียงให้เสียศูนย์

เจริญพร

 
 
  มูลนิธิสวนแก้ว

เลขที่ 55/1 หมู่ 1 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 11140
55/1 M.1 Bang lane Subdistrict, BangYai District Nonthaburi 11140, Thailand
Tel : (66)02-595-1444, (66)02-595-1946
Fax. (66)02-921-5022
 
 
โอนเงินร่วมบริจาค ชื่อบัญชี
มูลนิธิสวนแก้ว โดยพระราชธรรมนิเทศ
 ธนาคารกสิกรไทย สาขา บางใหญ่ เลขที่บัญชี เลขที่ 269-2-12533-1
Email : bookkan54@gmail.com
©2020 Kanlayano All rights reserved.